โลกการลงทุน

จัดทำบทความโดย นาย วิษณุ พันนุรักษ์
4903100224


โลกการลงทุน

เวลาพูดถึงการลงทุน ผู้ลงทุนจะพูดถึงการลงทุนที่ใกล้ตัว ศัพท์การลงทุนเรียกว่า “ตลาดในประเทศ” หรือ Domestic Markets และการลงทุนที่ไกลตัวออกไป ซึ่งมักจะเรียกว่า ตลาดต่างประเทศ หรือ International Markets โดยประเทศของใครก็แตกต่างไปตามประเทศนั้นๆ

เมื่อการสื่อสารและการโอนเงินข้ามพรมแดนเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น โลกของการลงทุนทุกวันนี้ จึงเปิดกว้างมากขึ้น ไม่เว้นแม้ผู้ลงทุนชาวไทย ที่จะออกไปลงทุนในต่างประเทศ ดิฉันยังจำได้ดีถึงที่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เมื่อปี 2536 คราวที่จัดสัมมนาเรื่องเศรษฐกิจและภาวการณ์ลงทุนของโลก โดยเชิญวิทยากรมาจากต่างประเทศว่า อยากให้ทางการเปิดให้ไปลงทุนต่างประเทศบ้าง

พอลงหนังสือพิมพ์ไป วันถัดมา หนังสือพิมพ์ธุรกิจพาดหัวเลยว่า ก.ล.ต.เบรก ผู้จัดการกองทุนที่อยากไปลงทุนในต่างประเทศ เพราะไทยยังขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูง จากนั้นปี 2538 สมาชิกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ ขออนุมัติจาก ก.ล.ต.นำเงินไปลงทุน เพื่อเรียนรู้การดำเนินงานของตลาดซื้อขายล่วงหน้า หรือฟิวเจอร์ส 20 ล้านดอลลาร์ โดยมีเงื่อนไขว่า สามารถส่งบุคลากรของบริษัท ที่นำเงินมาร่วมลงทุนไปฝึกงานกับเทรดเดอร์ นับเป็นการอนุมัติให้นำเงินออกไปลงทุนในต่างประเทศในลักษณะ Portfolio Investment ที่มีการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยง หรือ Risky Assets อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก แตกต่างจากการลงทุนในลักษณะบริหารสภาพคล่องของสถาบันการเงิน และการบริหารเงินทุนสำรองของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

การเปิดให้ประชาชนทั่วไปลงทุนในต่างประเทศได้อย่างเป็นทางการ เริ่มหลังจากเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ คือ ปี 2545 เมื่อสถานะของดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศดีขึ้น ธปท.จึงผ่อนคลายเกณฑ์การนำเงินตราออกไปนอกประเทศ และให้โควตาแก่ สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต.ในการจัดสรรเงินให้ บลจ. ยื่นเสนอการจัดตั้งกองทุน ซึ่งในรอบแรก ต้องเป็นกองทุนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ โดยได้รับคัดเลือก 5 กองทุน

ต่อมาขยายโควตาการลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงมีกองทุนเกิดขึ้นมากมาย ทั้งกองทุนหุ้นทุน กองทุนผสม กองทุนตราสารหนี้ และเสนอขายกองทุนที่ลงทุนเฉพาะเจาะจงในภูมิภาคต่างๆ หรือในลักษณะแนวคิด เช่น ลงทุนหุ้นบริษัทที่ผลิตสินค้าหรูหรา หุ้นเทคโนโลยี หุ้นพลังงานทางเลือก ฯลฯ ล่าสุด ธปท.ประกาศเมื่อวันที่ 1 ก.พ. ให้โควตาแก่ ก.ล.ต.เพื่อขยายวงเงินที่จัดสรรให้ บลจ. ต่างๆ เพิ่มจาก 30,000 เป็น 50,000 ล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ ท่านที่สนใจลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ สามารถนำเงินไปลงทุนได้สูงสุดถึง 10 ล้านดอลลาร์ต่อปี จากปัจจุบันลงทุนได้ 5 ล้านดอลลาร์ต่อราย ซึ่งต้องรอประกาศจากกระทรวงการคลังก่อน จึงขยายวงเงินได้ ซึ่งอสังหาริมทรัพย์เมืองใหญ่ๆ ที่น่าสนใจ เช่น ลอนดอน เป็นที่สนใจลงทุนของผู้มีความมั่งคั่งสูงในประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยแถบเอเชียนี้ คนฮ่องกงจะนิยมเป็นพิเศษ มีการลงโฆษณาขายอพาร์ตเมนต์ หรือบ้าน กันอยู่เป็นประจำ ถ้าเอาให้เช่า ผลตอบแทนจากการเช่าก็จัดว่าดีพอสมควร เข้าใจว่า 4-5% ต่อปี ราคาอสังหาริมทรัพย์ในทำเลที่ตั้งดีๆ ไม่ค่อยจะปรับตัวลดลง

ท่านที่ต้องการฝากเงินเป็นสกุลต่างประเทศเอาไว้ เผื่อให้ลูกหลานเรียนหนังสือ ก็สามารถฝากได้ถึง 100,000 ดอลลาร์ หากเป็นบุคคลธรรมดา และ 300,000 ดอลลาร์หากเป็นนิติบุคคล

เครือธนาคารกสิกรไทยยังมองค่าเงินบาท ณ สิ้นปีที่ 31.50 บาทต่อดอลลาร์ คือยังมองเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่าปัจจุบันอีก ดังนั้น ท่านต้องดูจังหวะการแลกเงินไปลงทุนด้วย

การลงทุนในต่างประเทศเป็นการลดความเสี่ยงการลงทุนอย่างหนึ่ง ด้วยการกระจายการลงทุน โดยการขึ้นลงของราคาสินทรัพย์ต่างประเภทกันจะขึ้นลงไปเท่ากัน และแม้เป็นประเภทเดียวกัน แต่อยู่ต่างประเทศกัน ก็ขึ้นลงไม่เท่ากัน การลงทุนในลักษณะกระจายความเสี่ยง จึงกระจายได้ทั้งตามประเภทของสินทรัพย์ (Asset Class) และตามภูมิภาคที่ลงทุน (Geographical location)



ที่มา : http://www.nidambe11.net

คำถาม
1. การลงทุนใกล้ตัว และการลงทุนไกลตัว มีศัพท์การลงทุนที่เรียกกันว่าอะไร
2. การเปิดให้ประชาชนทั่วไปลงทุนในต่างประเทศได้อย่างเป็นทางการ เริ่มหลังจากเมื่อใด
3. การลงทุนในต่างประเทศเป็นการลดความเสี่ยงการลงทุนอย่างหนึ่ง ในบทความ ได้กล่าวไว้ว่าเพราะอะไร

5 กับดักเศรษฐกิจ..พิษร้ายแรง

จัดทำบทความโดย นางสาวดุริยาภรณ์ จงอัจฉริยกุล
4903100003



5 กับดักเศรษฐกิจ..พิษร้ายแรง

ถ้าพูดถึง “กับดักเศรษฐกิจ” คือ ระบบที่ดูเหมือนจะดี แต่ที่จริงแล้วกลับไม่ใช่สิ่งที่ดี และสร้างความเสียหายได้อย่างมากมายตามมา อาจหยิบยกสถานการณ์เศรษฐกิจโลกปัจจุบันที่กำลังประสบอยู่เป็น 5 เรื่องดังต่อไปนี้

1. กับดักเงินหยวน คือ การที่ประเทศจีนได้กำหนดค่าเงินหยวนให้ผูกกับเงินดอลลาร์ ส่งผลให้สมดุลการค้าของโลกสูญเสียไป ประเทศจีนได้ดุลการค้ามากที่สุดในโลก ขณะที่อเมริกาก็ขาดดุลการค้าอย่างมหาศาลที่สุดในโลกเช่นกัน โดยที่ 2 ประเทศกลับผูกค่าเงินด้วยกันซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติมากๆ ระบบเงินหยวนนี้เคยสร้างปัญหามาแล้ว โดยได้เคยลดค่าถึง 33% และเป็นตัวจุดชนวนให้การส่งออกของไทยสูญเสียการแข่งขัน เมื่อรวมกับปัญหาเงินบาทและ BIBF จึงนำไปสู่ “วิกฤติต้มยำกุ้ง” ในที่สุด

วิธีปลดล็อก : จีนต้องมองให้กว้างออกไป ดำเนินนโยบายไม่ใช่เพื่อประเทศตนเอง แต่เป็นเพื่อโลก ในฐานะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ การยอมให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นไม่ต่ำกว่า 20% ภายในเวลา 1 ปี จะช่วยให้สมดุลการค้าของโลกคืนมาได้ สินค้าและสินทรัพย์ของอเมริกาจะมีมูลค่าถูกลงในสายตาคนเอเชียที่มีค่าเงินแข็งขึ้น ซึ่งจะช่วยประเทศอเมริกาได้เป็นอย่างดี ขณะที่คนจีนก็จะมีกำลังซื้อมากขึ้น ความเป็นอยู่ดีขึ้นจากค่าเงินที่แข็งค่า

2. กับดักเงินยูโร คือ การที่กำหนดค่าเงินสกุลเดียว แต่ผูกประเทศที่มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันอย่างมากให้อยู่ในยูโรโซนเดียวกัน เยอรมนีมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ได้ดุลการค้าอย่างมาก ในเวลาเดียวกันพบว่า ไอร์แลนด์ สเปนและกรีซ มีเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ขาดดุลการค้าอย่างหนัก โดยปกติแล้วค่าเงินจะสะท้อนสภาพเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ แต่ด้วยระบบเงินยูโร มันจึงเกิดขึ้นไม่ได้ จึงสร้างปัญหาอย่างมากต่อประเทศที่อ่อนแอ

วิธีปลดล็อก : จะต้องมีการปรับเปลี่ยนไปใช้เงิน 2 สกุล โดยเยอรมนีและฝรั่งเศสที่แข็งแกร่งเป็นแกนกลางนั้น ควรจะเปลี่ยนมาใช้เงินสกุลใหม่ Eura แทน ส่วนประเทศที่อ่อนแอริมขอบยูโรโซน ก็ใช้เงิน Euro กันต่อไป ยอมให้ Euro อ่อนค่าลง เพื่อช่วยเหลือการส่งออก และการชำระหนี้สินของประเทศริมขอบยูโรโซน

3. กับดักสภาพคล่อง เรื่องนี้อยู่ในตำราอยู่แล้ว คือ การลดอัตราดอกเบี้ยลงมาต่ำมาก แต่เศรษฐกิจก็ยังไม่ฟื้นตัวอย่างแข็งแรง สิ่งนี้กำลังเกิดอยู่ในประเทศญี่ปุ่น อเมริกา และอังกฤษ

วิธีปลดล็อก : เคนส์แนะนำให้รัฐบาลทำงบประมาณขาดดุล เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

4. กับดักเคนส์ คือ สภาพที่ประเทศได้สร้างหนี้สาธารณะเพิ่มตลอดจากการใช้นโยบายการคลังขาดดุล โดยที่เศรษฐกิจไม่ได้มีการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน เศรษฐกิจซบเซาและมีภาวะเงินฝืด ญี่ปุ่นได้ติดกับดักนี้มา 18 ปีแล้ว ส่วนประเทศอเมริกา และยุโรป เริ่มติดกับดักนี้มาได้ราว 2 ปี

วิธีปลดล็อก : ใช้เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก (Taiji-Econ.) มาเพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยไม่เป็นภาระการคลังเลยแม้แต่น้อย แต่ใช้หลักการยืมพลังจากแหล่งต่างๆ โดยเฉพาะกองทุนบำนาญแทน สำหรับประเทศญี่ปุ่นนั้น อาจใช้ “โครงการสินเชื่อ 777” หรือ “Lucky Seven Loan” ซึ่งมีแนวคิดคล้ายกัน “สินเชื่อ 999” โดยให้องค์กรที่บริหารเงินบำนาญ ทำการค้ำประกันสินเชื่อให้กับคนญี่ปุ่นไม่เกิน 7 ส่วนของเงินออมในอัตราดอกเบี้ย 7% ผ่อนได้ 7 ปี ส่วนของดอกเบี้ยนั้นบางส่วนจะถูกจัดสรรเข้าองค์กรบริหารเงินบำนาญ และรัฐบาลเป็นค่าธรรมเนียมค้ำประกันเงินกู้ด้วย ด้วยวิธีง่ายๆ เงินเศษเสี้ยวของกองทุนบำนาญเพียง 1% เมื่อถูกนำมาใช้จ่าย จะส่งผลให้ยกเศรษฐกิจขนาดใหญ่ได้ โดยรัฐบาลแทบไม่ต้องใส่เงินงบประมาณลงไปตรงๆ เลยแม้แต่น้อย

5. กับดักการออม คือ สภาพที่รัฐบาลสนับสนุนเอาเงินภาษีไปช่วยเพิ่มผลตอบแทนการออมให้กับคนระดับเศรษฐี ขณะเดียวกัน บังคับออมกับคนจนซึ่งทำให้พวกเขาติดหนี้สินกันมากทางอ้อม ซึ่งเป็นระบบที่ทำกันอยู่ในประเทศไทยตอนนี้ ด้วยระบบเช่นนี้ จะทำให้คนรวย ซึ่งมีค่าจ้างแรงงานสูง ได้รับผลตอบแทนการลงทุนสูงอีกด้วย ทำให้คนรวยนั้นรวยขึ้น ขณะที่ทำให้คนจนซึ่งมีค่าแรงต่ำ ยังถูกบังคับทางอ้อมไปติดหนี้ดอกเบี้ยโหด เพราะการถูกบังคับออมเงินทำให้เงินขาดมือ จึงมีผลตอบแทนส่วนทุนติดลบไปมาก สรุปแล้วคือทำให้คนจนนั้นจนลงไปอีก เห็นได้ชัดว่าระบบแบบนี้ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมขยายกว้างขึ้น

วิธีปลดล็อก : ลดวงเงินการหักลดหย่อนภาษี RMF, LTF ลงมา เลิกอุ้มคนรวยได้แล้ว ขณะเดียวกันต้องให้มีการยืดหยุ่นเงินออมของประกันสังคม และ กบข. โดยให้ผู้ประกันตนและสมาชิก สามารถเข้าถึงเงินออมของตนเองได้ ตามแนวคิดของ “สินเชื่อ 999” รวมถึงหยุดแนวคิดจัดตั้ง กองทุนการออมแห่งชาติไปเสีย

หากผู้นำประเทศต่างๆ เห็นถึงกับดักเหล่านี้ และเดินหน้าปลดล็อกได้เร็ว โลกก็อาจรอดพ้นจากวิกฤติรอบ 2 ไปได้ แต่ผมคิดว่ามีโอกาสถึง 80% ที่โลกกำลังเดินหน้าสู่วิกฤติรอบ 2 เสียก่อนแล้วผู้นำของประเทศต่างๆ จึงจะตาสว่าง เห็นถึงข้อเสียของกับดักเศรษฐกิจในปัจจุบันแล้วตัดสินใจเดินหน้าปลดล็อกกับดักเหล่านั้น จึงจะช่วยฟื้นเศรษฐกิจโลกได้ในที่สุด

ที่มา : http://www.nidambe11.net

คำถาม
1. ในบทความนี้ ได้ยกสถานการณ์เศรษฐกิจในโลกปัจจุบันมากี่เรื่อง
2. กับดักเงินยูโรคืออะไร และมีวิธีการปลดล็อกอย่างไร
3. ในบทความนี้คิดว่า มีโอกาสเท่าไหร่ที่โลกจะเผชิญกับวิกฤติรอบ 2

กับดักเงินยูโร

จัดทำบทควาโดย นายฐิติพงษ์ กิจวรเกียรติ
5003100123


ประวิทย์ เรืองศิริกูลชัย นักเศรษฐศาสตร์นอกกรอบ อดีตนักเรียนทุนญี่ปุ่น กรุงเทพธุรกิจ วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ถ้าคิดว่าผมจะเขียนเรื่อง “วิกฤติการคลังของยุโรป” นั้นก็อาจถูกเพียงครึ่งเดียว นั่นเป็นเรื่องปลายเหตุ EU ย่อมไม่สามารถแก้ไขปัญหาของกรีซ โปรตุเกส และสเปน ไปได้ หากมองไม่เห็นถึงต้นตอของปัญหาอย่างแท้จริง นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากได้มองข้ามปัญหาของระบบเงินยูโร

เงินยูโร เริ่มใช้วันที่ 1 มกราคม ค.ศ.1999 คือ สกุลเงินที่ประเทศในเขตยูโรโซนปัจจุบันมี 16 ประเทศจากสมาชิก EU 27 ประเทศ ตัดสินใจนำใช้เพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยนร่วมกัน เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการค้าขายโดยไม่ต้องแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลต่างๆ ในเขตยูโรโซน และเพื่อช่วยให้อัตราดอกเบี้ย และเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ สกุลเงินนี้ครอบคลุมประชากรถึง 327 ล้านคนในยุโรป อีก 175 ล้านคนนอกเขตยุโรป นอกจากนี้ ยูโรโซนมีขนาดของเศรษฐกิจเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐอเมริกา และหากรวมเศรษฐกิจทั้ง EU จะมีขนาดถึง 18 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งใหญ่กว่า สหรัฐอเมริกาเสียอีก อย่างไรก็ดี เมื่อใช้เงินสกุลนี้มาได้ราว 10 ปีเราเริ่มได้เห็นถึง “ด้านมืด” ของการใช้เงินสกุลเดียวได้เด่นชัดยิ่งขึ้น

เมื่อฟิทช์ได้ลดอันดับความน่าเชื่อถือของ “กรีซ” ลงสู่ระดับ BBB- จากระดับ A- เป็นการลดระดับความน่าเชื่อถือในรอบ 10 ปี และเป็นครั้งแรกของกรีซที่ถูกลดระดับลงต่ำกว่า A นอกจากนี้ S&P ยังให้มุมมอง “เชิงลบ” จาก “ทรงตัว” ต่อประเทศสเปนอีกด้วย หลังจากปรับลดเครดิตจาก AAA เป็น AA+ มาตั้งแต่ต้นปีเดือน มกราคม 2009

ทำไมประเทศที่ดูเหมือนแข็งแกร่งเหล่านี้จึงได้ประสบปัญหาในเรื่องของเครดิตได้ หากมองว่าเป็นเพราะ ขาดวินัยทางการคลัง นั่นก็คงเป็นที่ปลายเหตุ กรีซ ขาดดุลการคลัง 12.7% GDP ขณะที่สเปน ขาดดุลการคลังราว 11% GDP ซึ่งก็นับว่าอยู่ในระดับเดียวกันกับ อเมริกา อังกฤษ และญี่ปุ่น แล้วเหตุใดการลามของวิกฤติจึงไปที่สเปน โปรตุเกส แทนที่จะไปที่อิตาลี ซึ่งมีหนี้สินสาธารณะต่อ GDP สูงกว่า 100% ซึ่งเป็นระดับอันตรายเช่นเดียวกับ กรีซ

เมื่อมองย้อนหลังไปดูก็จะพบว่าวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศไม่ใหญ่นัก มักจะมีต้นเหตุหลักมาจาก “ระบบอัตราแลกเปลี่ยน” นั่นเอง โดยเฉพาะการปล่อยให้ค่าเงินมีค่าสูงกว่าที่ควรจะเป็นนานเกินไป ทำให้เกิดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงและต่อเนื่องหลายปี และ ในที่สุดความเชื่อมั่นก็ถดถอยจนเกิดการถอนเงินตราต่างประเทศออกอย่างเร็ว ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดกับประเทศเม็กซิโก ในปี ค.ศ.1994 ประเทศไทย (วิกฤติต้มยำกุ้ง) ในปี ค.ศ.1997 และ ประเทศอาร์เจนตินา ในปี 2002

ค่าเงินยูโรได้แข็งขึ้นอย่างเร็วจากระดับ 1 ยูโร ราว 0.8 ดอลลาร์ในปี ค.ศ.2002 เป็น 1.6 ดอลลาร์ ในปี 2008 ได้เพิ่ม GDP ของประเทศในกลุ่มนี้ให้สูงขึ้นอย่างมาก โดยประเทศกรีซ และ สเปน มี GDP ที่สูงขึ้นกว่า 150% คิดตามดอลลาร์ ในระยะเวลา 7 ปี จนถึงปี 2008 ซึ่งนับว่าเป็นระดับที่สูงมากๆ เมื่อเทียบกับประเทศสหรัฐอเมริกานั้นเติบโตขึ้นราว 40% เท่านั้นเอง อย่างไรก็ดี ค่าเงินที่แข็งค่าอย่างเร็วนี้ได้ทำให้ความสามารถแข่งขันในการส่งออก และท่องเที่ยวลดลงอย่างมาก ในขณะเดียวกันก็ประชาชนมีกำลังซื้อสูงขึ้นเกิดการนำเข้าสินค้าต่างๆ เข้ามามากมาย จนทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลอย่างหนักเป็นสัดส่วนถึงกว่า 10% GDP สำหรับประเทศกรีซ ตั้งแต่ปี 2006 มาแล้ว และ สำหรับประเทศสเปน ก็ขาดดุลมากกว่า 7% มานาน 4 ปีแล้วเช่นกันกลายเป็นประเทศที่ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา ตรงข้ามกับเยอรมันที่ได้ดุลเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากจีน และญี่ปุ่นในปี 2008

ประเทศริมขอบของเขตยูโร อย่าง กรีซ ไอร์แลนด์ โปรตุเกส สเปนและอิตาลี (PIIGS) ต่างก็ต้องประสบกับปัญหาการที่ต้องพยายามประคองเศรษฐกิจให้ได้ ภายใต้สภาวะที่ค่าเงินยูโรแข็งค่า แข่งขันอย่างไรก็แพ้ กลายเป็น “หมู” สำหรับประเทศเยอรมันอยู่ดี ประเทศเหล่านี้ได้ติด “กับดักเงินยูโร” เข้าแล้วด้วยความมุ่งหวังให้ต้นทุนการเงินหรืออัตราดอกเบี้ยต่ำลง จึงโดดสู่ระบบเงินยูโร แต่ต้องประสบกับปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างสูงกว่า 10% สำหรับกรีซ บางประเทศอย่างสเปน มีอัตราการว่างงานสูงถึง 19% บางประเทศอย่างอิตาลี ก็มีหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงกว่า 100% ค่าเงินยูโรนี้จะเคลื่อนไหวอิงตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ใหญ่กว่าอย่าง เยอรมัน และ ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 4 และ 5 ของโลกเป็นหลัก นอกจากนี้ค่าเงินยูโรยังถูกซื้อเพื่อนำไปเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศจำนวนมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพื่อทดแทนเงินดอลลาร์ซึ่งมีความเสี่ยงของการอ่อนค่า แต่แนวโน้มนี้กำลังกลับทิศ

หากเป็นประเทศอย่าง เม็กซิโก ไทย หรืออาร์เจนตินา ก็คือ การปล่อยให้ค่าเงินอ่อนลงอย่างเร็ว และ ดึงสมดุลการค้าให้กลับคืนมา เศรษฐกิจจะตกต่ำไปราว 1-2 ปี จากนั้นก็เริ่มยืนได้และเดินหน้าต่อไป แต่สำหรับประเทศริมขอบยูโรโซนเหล่านี้ ใช้ค่าเงินยูโรอยู่แล้ว จะลดค่าเงินลงมาก็ไม่ได้ จะมีทางออกที่สวยงามสำหรับประเทศเหล่านี้หรือไม่

1. ระยะสั้นๆ ที่ควรแก้ไขด่วนก็คือ นำเศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก มาใช้เร็วที่สุด ซึ่งวิธีนี้จะเป็นการยืมพลัง แทนที่จะใช้งบประมาณโดยตรง ทำให้สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจ และแก้ไขวิกฤติการคลังไปได้พร้อมๆ กัน ซึ่งต่างกับ กรีซที่ทำในปัจจุบันด้วยการลดการขาดดุลการคลัง ทำให้พนักงานรัฐจำนวนหนึ่งไม่พอใจ อาจก่อให้เกิดสารพัดม็อบขึ้นได้

2. ในระยะ 1 ปีข้างหน้า ประเทศเหล่านี้มีความจำเป็นต้องออกจากระบบ “ยูโร” เพื่อเพิ่มการแข่งขันทางการส่งออก และ ท่องเที่ยว น่าจะมีรวมตัวกันจัดตั้งเงินสกุลใหม่ ผมขอใช้ชื่อ “ยูร่า” (EURA) ก็แล้วกัน เป็นค่าเงินที่จะอ่อนค่ากว่า “ยูโร” ตอนแรกอาจปรับค่าให้ต่ำกว่า ยูโร ราว 10% จากนั้นก็อาจใช้ระบบ crawling peg เพื่อเกาะค่ากับ “ยูโร” แต่ยอมให้อ่อนค่าลงทีละน้อย ประเทศที่แข็งแกร่งทีม A ก็ใช้ “ยูโร” กันไป ส่วนประเทศที่พื้นฐานไม่ค่อยไหวอยู่ทีม B ก็อาจเลือกมาใช้ “ยูร่า” แทน โดยประเทศอังกฤษก็น่าจะสนใจเข้าร่วมในเครือข่ายนี้ด้วยก็เป็นได้ ในที่สุดแล้วยุโรปก็จะมีเงิน 2 สกุลเท่านั้น ซึ่งครอบคลุมขนาดเศรษฐกิจใหญ่ราวๆ 9 ล้านล้านดอลลาร์ พอๆ กัน และ สามารถใช้เป็นเงินตราสำรองระหว่างประเทศได้อย่างดี

ระบบเงินสกุลเดียวที่เคยดูเหมือนจะสดใสในอดีต เมื่อใช้มาย่างเข้าปีที่ 10 เริ่มพบว่ามี “ด้านมืด” แล้ว สำหรับเอเชียก็เช่นกัน ไม่ควรนำแนวคิดเงินสกุลเดียวมาใช้เลย เพราะ พื้นฐานทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศแตกต่างกันอย่างมาก ทั้งอัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย และดุลบัญชีเดินสะพัด


ที่มา : http://www.nidambe11.net

คำถาม
1. เงินยูโร เริ่มใช้เมื่อใด
2. วิกฤติเศรษฐกิจของประเทศไม่ใหญ่นัก มักจะมีต้นเหตุหลักมาจากอะไร
3. เพราะเหตุใด จึงไม่ควรนำแนวคิดเงินสกุลเดียวมาใช้

ดัชนีราคา SET50 Index และ SET100 Index

จัดทำบทความโดย นายอัครกฤษ เจริญภักดี
5003100113

เพื่อ ส่งเสริมการออกตราสารอนุพันธ์และเป็นเครื่องมือวัดสภาวะตลาดสำหรับกองทุนรวม ต่างๆ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงจัดทำ ดัชนีราคา SET50 Index และ ดัชนีราคา SET100 เพื่อเป็นดัชนีราคาหุ้นที่ใช้แสดงระดับและความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นสามัญ 50 และ 100 ตัวที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Capitalization) สูง การซื้อขายมีสภาพคล่องสูงอย่างสม่ำเสมอ และมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยผ่านเกณฑ์ที่กำหนด การปรับรายการหลักทรัพย์

ตลาดหลักทรัพย์ได้กำหนดให้มีการพิจารณาปรับรายการหลักทรัพย์ที่ใช้ในการ คำนวณ SET50 Index และ SET100 Index ทุกๆ 6 เดือน ทั้งนี้เพื่อความเหมาะสมและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นกับภาวะ การณ์ในตลาดหลักทรัพย์ เช่น กรณีที่มีบริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ หรือกรณีที่มีการเพิ่มทุนของบริษัทจดทะเบียนซึ่งอาจส่งผลให้หุ้นสามัญบางตัว ที่ไม่ได้ถูกคัดเลือกมาก่อนมีคุณสมบัติครบถ้วนขึ้น และสามารถนำมาใช้ในการคำนวณ SET50 Index และ SET100 Index ได้


SET100 Index และ SET50 Index
ประเภทดัชนี Composite Index

เกณฑ์การคำนวณ

* คำนวณแบบถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization Weight)
* ไม่นำหลักทรัพย์ที่ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP เกิน 1 ปีมารวมในการคำนวณ
* SET50 Index คำนวณโดยใช้หุ้นสามัญจดทะเบียนที่ผ่านการคัดเลือก 50 อันดับแรก
* SET100 Index คำนวณโดยใช้หุ้นสามัญจดทะเบียนที่ผ่านการคัดเลือก 100 อันดับแรก

การปรับฐาน การคำนวณ

* เช่นเดียวกันกับดัชนีราคา SET Index คือ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของหลักทรัพย์ที่ใช้ในการคำนวณ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงจำนวนหุ้นของหลักทรัพย์ที่เป็นผลมาจากเหตุการณ์ ต่างๆ
* เมื่อมีการใช้หลักทรัพย์ รายการใหม่ทุกๆ ครั้ง จะต้องมีการปรับฐานคำนวณเพื่อให้ค่าดัชนีมีความต่อเนื่องอยู่เสมอ ซึ่งเป็นวิธีการเดียวกับที่ใช้สำหรับการคำนวณ SET Index ในปัจจุบัน โดยการปรับฐานดัชนีจะดำเนินการในทำนองเดียวกันกับกรณีที่มีหลักทรัพย์ถูก เพิกถอนและมีหลักทรัพย์เข้าใหม่ตามแต่กรณี

ค่าดัชนีเริ่มต้น
1,000 จุด

วันฐาน
SET 100 คือ 30 เมษายน 2548

SET 50 คือ 16 สิงหาคม 2538


การพิจารณาปรับรายการหลักทรัพย์ทุก 6 เดือน (ในการคำนวณSET50 Index และ SET100 Index)
ระหว่างวันที่ 1-31 ธ.ค.
นำมาใช้คำนวณดัชนีตั้งแต่ วันทำการวันแรกของเดือนมกราคมปีถัดไป
ระหว่างวันที่ 1-30 มิ.ย.
นำมาใช้คำนวณดัชนีตั้งแต่ วันทำการวันแรกของเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน

ที่มา : www.set.or.th

คำถาม
1. เกณฑ์การคำนวณ มีอะไรบ้าง
2. ตลาดหลักทรัพย์ได้กำหนดให้มีการพิจารณาปรับรายการหลักทรัพย์ที่ใช้ในการ คำนวณ SET50 Index และ SET100 Index ทุกๆกี่เดือน
3. วันฐานของ SET 50 คือวันที่เท่าใด

ดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index)

จัดทำบทความโดย นาย วิษณุ พันนุรักษ์
4903100224



ดัชนี ราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ( SET Index) เป็นดัชนีที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของราคาหลักทรัพย์ทั้งหมด ( Composite Index)

สูตรการคำนวณดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ (SET Index)
SET Index =

มูลค่าตลาดรวมวันปัจจุบัน (Current Market Value) x 100
___________________________________________
มูลค่าตลาดรวมวันฐาน (Base Market Value)


ประเภทดัชนี Composite Index
เกณฑ์การคำนวณ

* คำนวณแบบถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization Weight)
* คำนวณโดยใช้หุ้นสามัญจดทะเบียนทุกตัวในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (รวมหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์)
* ไม่นำหลักทรัพย์ที่ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP เกิน 1 ปีมารวมในการคำนวณ

การปรับฐานการคำนวณ

เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของหลักทรัพย์ที่ใช้ในการคำนวณ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงจำนวนหุ้นของหลักทรัพย์ที่เป็นผลมาจากเหตุการณ์ ต่างๆ เช่น การเพิ่มทุนของบริษัท การแปลงสภาพหุ้นกู้เป็นหุ้นสามัญ และใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิเพื่อซื้อหุ้นสามัญของบริษัท

ค่าดัชนีเริ่มต้น 100 จุด

วันฐาน วันที่ 30 เมษายน 2518

ที่มา : www.set.or.th

คำถาม
1. ดัชนี ราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ( SET Index) เป็นดัชนีที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของอะไร
2. เกณฑ์การคำนวณ มีอะไรบ้าง
3. ค่าดัชนีเริ่มต้นที่กี่จุด

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับจีดีพีใหม่คาดจะขยายตัว 5.5-6.8% จากเดิมที่คาดการณ์ว่าเติบโต 4-6%

จัดทำบทความโดย นางสาวดุริยาภรณ์ จงอัจฉริยกุล
4903100003


วันนี้ ( 6 ส.ค.) รายงานข่าวจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยแจ้งว่า ได้ปรับผลิตภัณฑ์มวลรวมรายได้ในประเทศหรือจีดีพีในปี 53 ใหม่ คาดว่าจะขยายตัว 5.5-6.8% จากเดิมที่คาดการณ์ว่าเติบโต 4-6% และถ้าไม่มีปัจจัยลบทางการเมืองจีดีพีจะขยายตัวประมาณ 6.2-6.8% เป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกที่ออกมาดีกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ โดยจีดีพีในไตรมาส 1/53 ขยายตัวถึง 12% และไตรมาส 2/53 ขยายตัว 8% สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ แม้ว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก แต่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือ ทิศทางเศรษฐกิจในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับปัญหาวิกฤตหนี้ในภูมิภาคยุโรป ความต่อเนื่องของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และแรงขับเคลื่อนจากเศรษฐกิจจีนและประเทศอื่นๆ ในเอเชีย ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศ คงต้องติดตามสถานการณ์การเมืองภายในประเทศ ทิศทางเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาการลงทุนในมาบตาพุด

ที่มา : www.dailynews.co.th

คำถาม
1. GDP ในปี 53 ใหม่ คาดว่าจะขยายตัวประมาณกี่ %
2. ถ้าไม่มีปัจจัยลบทางการเมือง GDP จะขยายตัวเท่าไหร่
3. ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือปัจจัยใด

คลังจี้ธปท.คิดให้หนักขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย

จัดทำบทควาโดย นายฐิติพงษ์ กิจวรเกียรติ
5003100123


คลังจี้ธปท.คิดให้หนักขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย
07 กรกฎาคม 2553 เวลา 11:29 น.

"กรณ์" ออกโรงเตือน ธปท. คิดให้รอบคอบก่อนขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสกัดเงินเฟ้อสูง หวั่นกระทบการขยายตัวเศรษฐกิจ ที่กำลังเจอมรสุมของประเทศคู่ค้าทรุด

นายกรณ์ จาติกวณิช กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อที่เริ่มสูงขึ้น เป็นเรื่องที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องพิจารณาตามความเหมาะสม แม้ว่าเศรษฐกิจไทยดีในช่วงครึ่งปีแรก แต่แนวโน้มต่อไปมีความเสี่ยง ที่พึ่งพาเศรษฐกิจคู่ค้า ที่ไทยเคยเจอปัญหาที่ประเทศคู่ค้ามีปัญหา ทำให้การส่งออกหดตัว ส่งผลให้เศรษฐกิจถดถอยไปหลายไตรมาส ตอนนี้ก็มีสัญญาณน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าของไทยในส่วนของประเทศยุโรปที่มีนโยบายที่จะทำให้การ ขยายตัวเศรษฐกิจชะลอตัวลง

นายกรณ์ กล่าวว่า กนง. มีข้อมูลนี้ และน่าจะนำไปประกอบการตัดสินใจเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมหรือเปล่า ตอนนี้มีแรงกดดันเรื่องเงินเฟ้อมากขนากไหน ควรปรับอัตราดอกเบี้ยในตอนนี้อีกหรือไม่

อย่างไรต้องยอมรับว่า อัตราดอกเบี้นนโยบายของไทยอยู่ต่ำมาก หากมีการปรับขึ้นเล็กน้อยก็ถือว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำอยู่ดี ไม่กระทบต้นทุนของผู้ประกอบการแต่อย่างไร ซึ่งที่ผ่านมาการตัดสินใจของ กนง. เป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และคิดว่าไม่เคยมีอุปสรรคใรการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล

ที่มา : http://www.posttoday.com/

คำถาม
1. กนง. คืออะไรมีหน้าทีอะไร
2. ดอกเบี้ยนโยบายของ ธนาคารแห่งประเทศไทยในปัจจุบันเป็นเท่าไร
3. การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นนโยบายการเงินแบบใด

ตลาดตราสารอนุพันธ์

จัดทำบทความโดย นายอัครกฤษ เจริญภักดี
เลขทะเบียน 5003100113

ตลาดตราสารอนุพันธ์ (Derivative Market)

ตราสารอนุพันธ์ เป็นสัญญาทางการเงินระหว่างบุคคลตั้งแต่ 2 ฝ่ายขึ้นไป เพื่อตกลงกันที่จะซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิงในปัจจุบัน แต่มีการส่งมอบสินทรัพย์อ้างอิงและชำระราคาในอนาคต สินทรัพย์อ้างอิงได้แก่ ตราสารทุน ตราสารหนี้ เงินตราต่างประเทศ หรือสินค้าโภคภัณฑ์ (สินค้าทางการเกษตร น้ำมัน ทองคำ) ตลาดตราสารอนุพันธ์แบ่งลักษณะ ของสัญญาเป็น 4 ประเภท

1. Forward

คือ สัญญาที่ทำขึ้นระหว่างคู่สัญญา 2 ฝ่าย ซึ่งประกอบไปด้วยผู้ซื้อกับผู้ขายตกลงซื้อขาย สินทรัพย์ อ้างอิง โดยตกลงราคากันในวันนี้ เพื่อส่งมอบสินค้าและชำระเงินในอนาคต การตกลงซื้อขาย Forward เกิดขึ้นได้โดยไม่จำกัดสถาน ที่ (Over-the-Counter: OTC) และมีการกำหนดรายละเอียดของสัญญาตามความต้องการ ระหว่าง ผู้ซื้อกับผู้ขาย

2. Futures

คือ สัญญาที่ทำขึ้นระหว่างคู่สัญญา 2 ฝ่าย ซึ่ง ประกอบไปด้วยผู้ซื้อกับผู้ขาย ตกลงซื้อขายสินทรัพย์ อ้างอิง โดยตกลงราคากันในวันนี้ เพื่อส่งมอบสินค้าและชำระเงินในอนาคต การตกลงซื้อขาย Futures เกิดขึ้นในตลาดที่เป็นทางการ (Exchange) และ มีการกำหนดรายละเอียดของสัญญาเป็นแบบมาตรฐาน


Forward Contract

Futures Contract

- ไม่มีการกำหนดมาตรฐานของสัญญา

- มีการกำหนดมาตรฐานของสัญญาอย่าง

สาระสำคัญของสัญญาเป็นไปตาม

ความตกลงของคู่สัญญา 2 ฝ่าย

ชัดเจน เช่น ขนาดของสัญญา สินทรัพย์

อ้างอิง วันหมดอายุ

- การซื้อขายเป็นแบบ OTC

- การเปลี่ยนมือ หรือเลิกสัญญา

ทำได้ค่อนข้างยาก

- การซื้อขายทำใน Exchange

- การเปลี่ยนมือ หรือเลิกสัญญา

ทำได้ค่อนข้างง่าย

3. Option

เป็น สัญญาที่ให้สิทธิแบบไม่ผูกมัดกับผู้ถือ Option ในการซื้อ หรือขายสินทรัพย์อ้างอิงตามราคาที่กำหนดไว้ในสัญญา (Exercise Price) ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา Option แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

1. สิทธิซื้อ (Call Options)

คือ สัญญาที่ให้สิทธิผู้ซื้อในการ ซื้อ สินทรัพย์อ้างอิง จากผู้ขายตามจำนวน ราคาและภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้

2. สิทธิขาย (Put Option)

คือ สัญญาที่ให้สิทธิผู้ซื้อในการ ขาย สินทรัพย์อ้างอิง ให้แก่ผู้ขายตามจำนวน ราคาและภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้

4. Swap

เป็นสัญญาในการแลกเปลี่ยนกระแสเงินที่จะเกิดขึ้นในอนาคตระหว่าง คู่สัญญา โดยมีสถาบันการเงิน ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างการแลกเปลี่ยน เช่น สัญญาสวอปอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Swap) เป็นสัญญา ทางการเงินที่คู่สัญญาตกลงที่จะแลกเปลี่ยนภาระการชำระดอกเบี้ยให้แก่กัน ภายในระยะเวลาที่กำหนด สัญญา สวอปเงินตราต่าง ประเทศ (Currency Swap) เป็นสัญญาในการแลกเปลี่ยนเป็นสกุลหนึ่งกับเงินอีก สกุลที่อ้างอิง

ตลาดอนุพันธ์ในประเทศไทยมี 2 แห่ง คือ

1.ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (The Agricultural Futures Exchange of Thailand) เปิดดำเนินการปี พ.ศ. 2547 สินค้าตัวแรกที่เปิดซื้อขาย คือ ยางพาราแผ่นรมควันชั้น 3 และมีสินค้าเกษตรอื่นๆ ที่เปิดซื้อขายตามมา คือ ข้าวขาว 5% และแป้งมันสำปะหลัง

2. บริษัทตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (Thailand Futures Exchange) จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2547 โดยเป็นบริษัทย่อยของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ คาดว่าใน ปี พ.ศ. 2549 สินค้าตัวแรกที่จะเปิด ซื้อขายในบริษัท ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) คือ SET 50 Index Futures

ที่มา : http://www.fizones.com/article/dr3.htm

คำถาม
1. ตลาดตราสารอนุพันธ์แบ่งตามลักษณะ เป็นกี่ประเภท
2. ในประเทศไทย มีตลาดอนุพันธ์กี่แห่ง
3. สัญญาชนิดใดให้สิทธิในการไม่ผูกมัดกับผู้ถือ ในการซื้อ หรือขาย สินทรัพย์อ้างอิง